บัตรเครดิตอาจเป็นเพียงแผ่นพลาสติกธรรมดา หากไม่มีบริษัทนี้…

Visa (V) บริษัทผู้ให้บริการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งรวมไปถึงบัตรเคตดิต บัตรเดบิต บัตรของขวัญ Visa เป็นบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ ดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลายาวนานกว่า 63 ปี โดยผู้ให้สินเชื่อ ซึ่งเป็นผู้ออกบัตรเครดิตนั้น ๆ จะเป็นคู่ค้า (Partnership) กับบริษัท Visa เพื่อให้ Visa ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการชำระเงิน ระหว่างผู้ใช้บัตรเครดิตและร้านค้าที่ผู้ใช้บัตรนำไปจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน จึงทำให้บัตรเครดิตที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน แสดงโลโก้ของ Visa อยู่บนหน้าบัตรเป็นส่วนใหญ่ จากที่ Visa ครองส่วนแบ่งการตลาดบัตรเครดิตตามจำนวนบัตรที่ถูกใช้อยู่ที่ 52.8% และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้บัตรสามารถใช้งานได้ ได้แก่ ‘ชิป IC”  ที่อยู่บนบัตร โดยเป็นตัวกลางในการเข้ารหัส เก็บข้อมูล ประมวลผลข้อมูล รวมถึงช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูล ระหว่างดำเนินการชำระเงินที่ร้านค้า, ตู้ ATM, หรือจุดที่รับการชำระเงินอื่น ๆ

รายได้ของ Visa (V) มาจากอะไร

สิ่งที่สำคัญที่ช่วยหนุนรายได้ของ Visa ได้แก่ ปริมาณการชำระเงิน หรือที่เรียกว่า Payment Volume ซึ่งยิ่งปริมาณการชำระเงินเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะทำให้รายได้ของ Visa เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากในทุก ๆ ครั้งของการชำระเงิน Visa จะมีการคิดค่าธรรมเนียมตามอัตราส่วนหรือเปอร์เซ็นต์ที่กำหนดให้กับร้านค้า ATM หรือจุดชำเงินอื่น ๆ ในอัตราค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันไป

อีกหนึ่งบริษัทที่ดำเนินธุรกิจคล้ายกันกับ Visa ได้แก่ Mastercard (MA) บริษัทจากประเทศสหรัฐฯ ที่ดำเนินธุรกิจคล้ายกัน โดยหากดูที่ส่วนแบ่งการตลาดบัตรเครดิตแล้วต่ำกว่า Visa ซึ่งอยู่ที่ 31.6% (ข้อมูลจาก Balancingeverything.com)

เปรียบเทียบให้เข้าใจมากขึ้นในเรื่องบัตรเครดิต…

ผู้ให้สินเชื่อบัตรเครดิต ซึ่งส่วนมากแล้ว ก็จะเป็นสถาบันการเงินอย่างธนาคารพาณิชย์ นั่นเอง ซึ่งในไทยเอง นอกจากธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการสินเชื่อบัตรเครดิตอย่างธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกสิกร (KBANK) ฯลฯ แล้ว ก็ยังมีอีกบริษัทที่ทำธุรกิจให้บริการสินเชื่อบัตรเครดิตโดยเฉพาะ นั่นก็คือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC นั่นเอง

บัตรเครดิตที่ทาง KTC ร่วมมือกับ Visa โดยบัตรประเภทนี้ มีไว้สำหรับผู้ใช้บัตรที่ชื่นชอบการสะสมคะแนนจากการชิม ช้อป และท่องเที่ยว

หากลองมาดูบริษัทรายใหญ่ จากฝั่งสหรัฐฯ ที่ดำเนินธุรกิจสินเชื่อบัตรเครดิตกันบ้าง 

ไม่ว่าจะเป็น… JPMorgan Chase (JPM) ธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐฯ

บัตรเครดิตที่ทางสำนักข่าว CNBC ประกาศว่า เป็นหนึ่งในบัตรที่ดีที่สุดในปี 2564 นี้สำหรับผู้ใช้บัตรที่ต้องการเงินคืน หรือ Cashback

บริษัท American Express (AXP) ผู้ให้บริการด้านการเงินของสหรัฐฯ โดยเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจสินเชื่อบัตรเครดิตที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ คำนวณจากมูลค่าธุรกรรมด้านสินเชื่อ

บัตรเครดิตที่ทางสำนักข่าว CNBC ประกาศว่า เป็นหนึ่งในบัตรที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้บัตรที่ต้องการรีวอร์ด และชอบท่องเที่ยว ในปี 2564 นี้

บริษัทผู้ให้สินเชื่อบัตรเครดิตชั้นนำในสหรัฐฯ พร้อมกับจำนวนบัตรเครดิตที่ให้บริการในปี 2564 (หน่วย: ล้านบัตร)

Source: Wallethub, as of 9/7/64

เรียนรู้ ชิปบนบัตรเครดิต

การมีชิปบนบัตร เป็นการทำให้บัตรสามารถใช้ในการชำระเงินได้ ร่วมกับเครื่องรูดบัตรตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น เครื่อง POS ตามร้านค้า หรือ ATM ตามที่ได้กล่าวไป ซึ่งในปัจจุบันนอกจากการรูดหรือเสียบบัตรแล้ว บัตรบางรุ่นยังสามารถชำระเงินได้จาก ‘การแตะ’ ได้เช่นกัน

การที่จะทำแบบนี้ได้ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย.. ได้แก่ “ชิป EMV”

Source: ValuaPenguin, as of 03/03/64

EMV ย่อมาจาก Europay, MasterCard และ Visa ซึ่งร่วมกันกำหนดมาตรฐานสำหรับการทำงานระหว่างกันของบัตรที่มีชิป IC เช่น บัตรเครดิตกับเครื่อง Terminal (อาทิ เครื่องรูดบัตร ตู้ ATM) ซึ่งต่อมาบัตรเครดิตค่ายอื่นๆ ก็เข้าร่วมเพิ่มขึ้นและพัฒนากลายมาเป็นมาตรฐานสากล (ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ NCB) ซึ่ง ชิป IC ทำหน้าที่เก็บข้อมูล ประมวลผล และเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลระกว่างการทำธุรกรรม ฯลฯ

สำหรับวันนี้ BLS Global Investing หวังว่านักลงทุนทุกท่านจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับบัตรเครดิตไปไม่มากก็น้อย สำหรับสัปดาห์หน้าจะเป็นเรื่องอะไรนั้น ติดตามกันนะคะ 😊

 

📌 เปิดบัญชีลงทุนต่างประเทศออนไลน์ง่าย ๆ สไตล์ BLS Global Investing ได้ที่ https://bls.tips/openglobalinvesting

 

📌 โปรโมชันแทนคำขอบคุณ ขยายวันโอนเงินไปต่างประเทศกับหลักทรัพย์บัวหลวง ฟรี! ค่าธรรมเนียมโอนเงิน ทุกวันอังคาร และ วันพุธตลอดวัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ https://bls.tips/globalinvesttransfer

#CreditCard #Visa #BLSGlobalInvesting #หลักทรัพย์บัวหลวง

Source: BLS Global Investing, Bloomberg, NCB, Moneyguru, Statistics, ValuePenguin, CNBC, ข้อมูล ณ วันที่ 13 ส.ค. 64