
ใครที่ตั้งใจศึกษาการเลือกหุ้นแบบ Fundamental แล้วไม่รู้จัก PE Ratio นี่ถือว่าเอาท์สุดๆ ... เพราะถ้าเปรียบว่าคุณคือเจ้าของร้านบะหมี่ ... PE นี่คือหม้อน้ำซุป...คือทัพพี...คือตะหลิว พูดง่ายๆ มันคือเครื่องมือทำมาหากินของคุณเลยแหละ
"ด้วยการที่ประโยชน์ใช้สอยของ PE Ratio นี่มากมายมายเหลือเกิน จึงทำให้มันเป็นอัตราส่วนทางการเงินที่มีความสำคัญมากๆ ต่อการเลือกหุ้น วิเคราะห์หุ้น"
ทีนี้ลองมาดูกันครับว่า PE มีประโยชน์อะไรบ้าง
ใช้วัดความถูกแพงของหุ้น
PE Ratio คำนวณได้โดยเอาราคาหุ้นตั้ง หารด้วยกำไรต่อหุ้น ค่าที่ออกมาจะมีหน่วยเป็นเท่า เช่น 10/2 = 5 ก็หมายความว่าหุ้นตัวนี้มี PE 5 เท่า ในอีกความหมายหนึ่งคือการวัดค่าเป็นจำนวนปีที่คืนทุน อย่าง PE = 5 เท่า ก็หมายถึง
"ถ้าคุณซื้อหุ้นตัวนี้ ในราคา 10 บาท และหุ้นตัวนี้ให้กำไรคุณหุ้นละ 2 บาทต่อปี คุณจะต้องใช้เวลา 5 ปี กว่าจะได้กำไรเท่ากับเงินที่จ่ายไปเพื่อซื้อหุ้น"
ซึ่งก็คือปีที่คืนทุนจากการลงทุนในหุ้นตัวนี้นั่นเอง และนั่นทำให้หุ้นตัวไหนที่มี PE ต่ำกว่าย่อมหมายถึงมีราคาถูกกว่า ด้วยเหตุนี้ถ้าดูจาก PE แล้ว ถ้าธุรกิจคล้ายๆ กัน ประสิทธิภาพในการบริหารงานพอๆ กัน เราก็ควรจะเลือกหุ้นที่มี PE ต่ำกว่านั่นเองครับ แต่ทีนี้ก็ไม่ใช่ว่าเราจะเอา PE มาเป็นตัวเทียบกันระหว่างหุ้นอะไรก็ได้นะ เพราะ
"ด้วยความแตกต่างกันของรูปแบบของธุรกิจ ธรรมชาติของอุตสาหกรรม ทำให้ PE ของแต่ละธุรกิจ แต่ละอุตสาหกรรมมีความแตกต่างกัน"
แนวทางการเปรียบเทียบ
- เทียบ PE ของหุ้นที่สนใจ กับ PE ของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ – นั่นจะเป็นการเปรียบเทียบว่า หุ้นที่คุณกำลังสนใจอยู่ตอนนี้ “ถูกหรือแพง กว่าหุ้นทั้งตลาดรวมกัน” ซึ่งจะทำให้เราเห็นภาพรวมว่าตอนนี้เราอยู่ในจุดใดของตลาด
- เทียบ PE ของหุ้นที่สนใจ กับ PE ของกลุ่มอุตสาหกรรมและคู่แข่ง – นี่จะช่วยบอกว่า "หุ้นที่คุณซื้อถูกหรือแพงกว่าหุ้นของบริษัทคู่แข่งอื่นๆ อุตสาหกรรมเดียวกัน"
- เทียบ PE ของหุ้นที่สนใจ กับ PE ในอดีตของตัวเอง – การเทียบแบบนี้จะทำให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงใน PE ของหุ้นที่หมายปองไว้ ถ้า PE มีการปรับตัวขึ้นเรื่อยๆ นั่นอาจหมายความว่าราคาหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าการเพิ่มขึ้นของกำไร
ใช้วัดความคาดหวังของนักลงทุน
อย่างที่พูดไปถึงเรื่องการคำนวณ PE (P/EPS) คุณจะเห็นว่าตัวแปรหนึ่งที่ทำให้ PE Ratio ของหุ้นนั้นเปลี่ยนแปลงได้ตลอดทุกวันนั่นคือราคา หรือ Price ที่เปลี่ยนแปลงไป ... แล้วอะไรทำให้ราคาเปลี่ยนแปลง? คำตอบก็คือนักลงทุนไงครับ!
“ความอยากซื้อ อยากขาย ความกลัว ความโลภ และความหวังของนักลงทุน ... เป็นตัวที่ทำให้ราคาหุ้นเปลี่ยนไป (ส่งผลถึง PE)”
เวลาใดก็ตามที่มีคนคาดหวังหุ้นตัวหนึ่งมากๆ คาดหวังว่าในอนาคตหุ้นตัวนี้จะมีกำไรเพิ่มขึ้น คนก็จะเริ่มซื้อๆๆ จนดันราคาหุ้นสูงขึ้น และทำให้ PE สูงตามไปด้วย เช่นเดียวกันกับตอนสิ้นหวัง ตอนที่หุ้นมีปัญหาหรือเวลามีข่าวร้ายเข้ามากระทบกับหุ้น คนก็จะเริ่มขาย จนทำให้ PE ของหุ้นลดลง โดยที่ยังไม่ต้องไปพูดถึงพื้นฐานของธุรกิจหรือกำไรที่อาจจะเกิดขึ้นจริงๆ กับบริษัทเลย
ถึงตรงนี้คุณจะเริ่มเห็นว่า การเลือกซื้อ/ขายหุ้น โดยดูจาก PE อย่างเดียวอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีซักเท่าไหร่ เพราะหลายครั้งหุ้น PE สูง อาจเป็นหุ้นที่นักลงทุนคาดว่ามีโอกาสมีกำไรจะเติบโตสูง ซึ่งหากกำไรนั้นเกิดขึ้นจริง หุ้นตัวนี้อาจกลายเป็นหุ้น PE ถูกได้ในอนาคต เช่นเดียวกับหุ้น PE ต่ำ ก็อาจกลายเป็นหุ้น PE สูงในอนาคตได้ หากบริษัทมีกำไรต่อหุ้นลดลง สิ่งเหล่านี้ทำให้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูอัตราส่วนทางการเงินอื่นๆ เพิ่มเติมในการเลือกสรรหุ้นด้วย (ซึ่งผมจะพูดถึงในตอนต่อๆ ไปแน่นอนครับ)
ใช้ประเมินราคาหุ้นในอนาคต
PE = P/EPS ถ้าคุณลองดูดีๆ จะเห็นว่าเราสามารถกลับข้างสมการเพื่อหาราคาหุ้นในอนาคตได้ โดยเปลี่ยนสมการเป็น P = PE x EPS (ในอนาคต) ซึ่งเราจะคำนวณหาราคาในอนาคตจากการประเมินกำไรต่อหุ้น เพื่อมาคูณกับ PE ที่เหมาะสมของหุ้นตัวนั้น ตรงนี้เราจะลองมาดูตัวอย่างหุ้นจริงๆ อย่างหุ้น CPALL หุ้นค้าปลีกที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดีครับ
(ภาพจาก https://goo.gl/TDxODw)
- ประเมินค่า EPS ในอนาคต - เริ่มด้วยจากการหาเปอร์เซ็นต์การเติบโตของกำไรต่อหุ้น หรือ EPS ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญต่อการประเมินราคาหุ้น ซึ่งคุณสามารถหาเปอร์เซ็นการเติบโตได้หลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะประเมินเอาเอง (ออกแนวนักวิเคราะห์) ฟังจากผู้บริหาร (หาได้จาก Opp. Day) และใช้เปอร์เซ็นต์การเติบโตเฉลี่ย ซึ่งในที่นี้สมมติว่าเราประเมินการเติบโตที่ 20% จะทำให้กำไรต่อหุ้นในอีก 1 ปีข้างหน้าจะเท่ากับกำไรต่อหุ้นของปีที่แล้ว + 20% (1.52+20%) ตัวเลข EPS อันใหม่ก็จะเท่ากับ 1.824
- ประเมิน PE ที่เหมาะสม - โดยเราจะประเมินว่าเมื่อเราจะลงทุนในหุ้นตัวนี้ ธุรกิจแบบนี้ เราเต็มใจที่จะซื้อแล้วคืนทุนนานที่สุดกี่ปี หรือคุณอาจใช้ PE เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี หรือ 5 ปีก็ได้ ซึ่งจริงๆ เรื่องนี้ไม่ได้มีเกณฑ์ที่ตายตัว แต่มันมีข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือ บริษัทใดที่มีความเสี่ยงด้านรายได้สูงๆ มีความเสี่ยงด้านธุรกิจสูงๆ ไม่ควรจะมี PE สูง หรือบริษัทใดที่มีความได้เปรียบทางธุรกิจมากๆ ผลประกอบการดีต่อเนื่องยาวนาน และความเสี่ยงทางธุรกิจต่ำ หุ้นพวกนี้มักจะมี PE สูงกว่าหุ้นโดยรวม ในกรณีของ CPALL ผมขอใช้ PE เฉลี่ยย้อนหลัง ประมาณ 35 เท่า น่าจะเป็น PE ที่เหมาะสมกับหุ้นค้าปลีกที่ไม่มีคนไทยคนไหนไม่รู้จักครับ
- จับคูณซิ...รออะไร 35 x 1.824 ตัวเลขที่ได้ออกมาเท่ากับ 63.8 บาท ซึ่งนี่ก็คือราคาหุ้นที่เราประเมินไว้ในอีก 1 ปีข้างหน้านั่นเอง
และอาจจะต้องรอเวลาให้ความผันผวนพาราคาลงมาต่ำกว่าเพื่อหาจังหวะซื้อ หรือยืดระยะเวลาการลงทุนให้นานขึ้น และหันมาประเมิน PE ในอีก 2 หรือ 3 ปีข้างหน้าแทนถ้าปัจจุบัน CPALL มีราคาซื้อขายกันต่ำกว่า 63.8 แบบนี้ราคาถูก ... น่าซื้อ!!!
แต่ถ้าปัจจุบัน CPALL มีราคาซื้อขายกันสูงว่า 63.8 แบบนี้แพง ...
ถึงตรงนี้คุณจะเห็นว่า PE Ratio คืออัตราส่วนทางการเงินตัวหนึ่งที่มีประโยชน์ใช้สอยหลายแบบ ทั้งดูความถูกแพง ดูความคาดหวังของนักลงทุน และใช้ประเมินราคาหุ้น รวมถึงการดูความเสี่ยงของธุรกิจเทียบกับความถูกแพงได้ด้วย อยู่ที่คุณจะใช้ประโยชน์ด้านไหน และที่ขาดไม่ได้ "การลงทุนมีความเสี่ยง...นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวนก่อนตัวสินใจลงทุน" แล้วกลับมาพบกันใหม่ตอนหน้าครับ
ปริพรรห์ ปริยอุดมทรัพย์ AFPT™
นักลงทุนมือใหม่ ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Wealth CONNEX เพื่อเริ่มต้นเรียนรู้และเข้าถึงทุกบริการลงทุนกับหลักทรัพย์บัวหลวง
- IOS รองรับ iOS 14 ขึ้นไป ติดตั้ง คลิกที่นี่
- Android รองรับ 7.0 ขึ้นไป ติดตั้ง คลิกที่นี่
- Notebook & Personal Computer Browser Support : Chrome, Firefox, Safari7+, IE11+

อ่านคู่มือและเงื่อนไขการใช้งานคลิกที่นี่
✅ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่แอป Wealth CONNEX บริการเชื่อมต่อทุกความรู้และบริการลงทุน
เลือกเมนู CHAT กด Chat With Customer Service